บทความ เรื่อง : ใต้ป่วนทั้งวัน บึ้มเผายิงตำรวจ 20 อาจารย์ติวประเด็น กลัวทักษิณไม่ฟัง
   

บทความเลขที่ 193
คนสร้างบทความ :
a
วันที่ตั้งบทความ :
2004-11-16
คะแนนบทความ :
1025(เฉพาะเดือนนี้ )
จำนวนคนอ่าน :
2779(เฉพาะเดือนนี้ )
   


ใต้ป่วนทั้งวัน บึ้มเผายิงตำรวจ 20 อาจารย์ติวประเด็น กลัวทักษิณไม่ฟัง

------------------------------------------------------------------------------------------------
ใต้ยังเดือด ระเบิดต่อเนื่องหลายจุด บึ้มตลาดสดธารโต ยะลา ตาย 1 เจ็บ 7 เด็ก 1 ขวบถูกสะเก็ดระเบิดหลายแห่ง แพทย์ระบุไม่สาหัส ที่ปัตตานียิง ตร.สายตรวจเจ็บอีกราย ขณะเมืองนรา ระเบิดตลาดนัดบ้านบูเก๊ะตา อ.แว้ง เจ็บ 3 ราย คาดเป็นระเบิดแสวงเครื่อง ซีอีโอนราฯ จัดงบ 1.3 ล้านแจกจ่ายทุกอำเภอสกัดป่วนใต้ ส่วนกลุ่มยุวมุสลิมมาเลเซียตั้งกองทุนช่วยเหยื่อไฟใต้ 10 ล้านบาท นักวิชาการจัดทัพส่งตัวแทน 20 คนพบนายกฯ "ไกรศักดิ์" ยันให้ยูเอ็นร่วมดับไฟใต้

หลังจากสิ้นสุดเทศกาลรอมฎอนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังเกิดเหตุรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกิดระเบิดขึ้นหลายจุดใน จ.นราธิวาส ตั้งแต่คืนวันที่ 12 พ.ย.เป็นต้นมา จนล่วงเลยมาอีก 1 วัน คนร้ายได้วางระเบิดและยิงอีกหลายแห่งใน จ.ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ส่วนใหญ่คนร้ายมักก่อเหตุในตลาดสด ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

บึ้มตลาดสดธารโต ตาย 1 เจ็บ 7

เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 13 พ.ย. เกิดเหตุระเบิดขึ้นบริเวณตลาดสด หมู่ 1 ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา มีผู้เสียชีวิต 1 คน คือ นายสมพงษ์ หนูขาว อายุ 65 ปี พ่อค้าขายผักในตลาด อยู่บ้านเลขที่ 80 หมู่ 7 ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา ถูกสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะเสียชีวิตทันที ส่วนผู้บาดเจ็บ 7 คนถูกนำส่งโรงพยาบาลธารโต

ผู้บาดเจ็บทั้งหมด ประกอบด้วย นายสมาน เหล่าศรีชัย อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 275 หมู่ 1 ต.ธารโต อ.ธารโต โดนสะเก็ดระเบิดที่ลำตัว ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลธารโต ด.ช.ภูดิศ พวงโมรา อายุ 1 ขวบ โดนสะเก็ดระเบิดที่ขาทั้งสองข้าง อาการสาหัส ยังนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล นางกานธิดา เพ็ญบูรณ์ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 11/10 ต.ธารโต อ.ธารโต น้องสาวของนายอรุณ เพ็ญบูรณ์ ครูอัตราจ้างโรงเรียนบ้านนิคมธารโต หมู่ 4 ต.ธารโต อ.ธารโต ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อคืนวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณขาทั้งสองข้าง บาดเจ็บเล็กน้อย แพทย์ให้กลับบ้านแล้ว

นางถาวร คำจันทร์ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 280 หมู่ 1 ต.ธารโต อ.ธารโต โดนสะเก็ดระเบิดที่แขนขวา ยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล นางกานดา หนูขาว อายุ 30 ปี บุตรสาวของนายสมพงษ์ ที่เสียชีวิต ถูกสะเก็ดระเบิดที่แขนและขาข้างซ้าย แพทย์ให้กลับบ้านได้ นายสุพล พวงโมรา อายุ 35 ปี (ไม่ทราบที่อยู่) มีแผลถลอกบริเวณหน้าท้อง แพทย์ทำแผลและให้กลับบ้านได้ และนางอำไพ เกิดหนู อายุ 49 ปี (ไม่ทราบที่อยู่) มีอาการหูอื้อ แพทย์ก็ให้กลับบ้านเช่นกัน

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ระเบิดถูกซุกซ่อนไว้ที่แผงขายผักของนายสมพงษ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ประสานกำลังตำรวจวิทยาการเขต 12 ยะลา เข้ามาตรวจสอบหลักฐานในที่เกิดเหตุ

เผยผู้ตายอุ้มหลานไปดูปลาในตลาด

นางกานดา หนูขาว บุตรสาวของนายสมพงษ์ เป็นมารดาของ ด.ช.ภูดิศ กล่าวว่า ขณะที่ตน สามี และลูกชาย รวมทั้งบิดา ได้มาช่วยกันขายผักในตลาดสด ช่วงก่อนเกิดเหตุ ลูกชายร้องไห้จะไปดูปลาที่อยู่ในลังโฟม ที่แผงขายปลาข้างๆ ซึ่งอยู่ติดกัน แต่ตนไม่สามารถพาลูกไปดูได้ พ่อของตนจึงอุ้มหลานไปดูแทน จากนั้นสักครู่ก็เกิดระเบิดตูมขึ้น ส่งผลให้พ่อของตนเสียชีวิต ส่วนลูกได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้า แขน และขา

แพทย์ระบุอาการเด็กไม่สาหัส

น.พ.ปรีชา วงศ์ศิลารัตน์ ผอ.โรงพยาบาลธารโต กล่าวว่า อาการของ ด.ช.ภูดิศ ไม่ได้สาหัสมากนัก แต่ที่เห็นว่ามีแผลมาก เพราะโดนสะเก็ดระเบิด เมื่อตรวจแล้วพบเป็นเพียงแผลถลอกเท่านั้น จึงได้ล้างแผล ทำแผล และให้น้ำเกลือ ส่วนอาการอื่นๆ ของเด็ก มีอาการหูอื้อ แต่สักพักคงจะหายไปเอง

"หมอจะตรวจอีกครั้งหนึ่ง แต่ช่วงนี้ต้องระวังแผลติดเชื้อ จึงได้บอกให้แม่และญาติเด็กพามาล้างแผลทุกวัน ส่วนคนอื่นๆ ที่ได้รับบาดเจ็บ หากมีอาการดีขึ้นก็จะอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นรักษาตัวที่บ้านได้" น.พ.ปรีชา กล่าว

ยันใช้แสวงเครื่องตั้งเวลา 7 โมงเช้า

เจ้าหน้าที่กองวิทยาการเขต 12 และชุดเก็บกู้ระเบิดจากกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 44 ค่ายพญาลิไท ได้เข้าเคลียร์พื้นที่จุดเกิดเหตุที่ตลาดสด พบหลุมระเบิดลึก 5 นิ้ว กว้าง 12 นิ้ว และพบเศษถ่านไฟฉาย ยี่ห้อเนชั่นแนลและถ่านขนาด 3 เอ ที่ผลิตจากประเทศจีน รวมทั้งเศษเหล็กเส้น เศษท่อพีวีซีสีฟ้าจำนวนหนึ่ง เบื้องต้นเชื่อว่า คนร้ายนำระเบิดชนิดแสวงเครื่อง ตั้งเวลาระเบิดที่เวลา 07.00 น. ก่อนนำมาวางไว้

พ.ต.อ.สาคร ทองมุณี โฆษกตำรวจภูธรภาค 9 กล่าวว่า ขอให้ผู้ประกอบการสถานบันเทิง ร้านค้า ร้านอาหาร พึงระมัดระวังผู้มาใช้บริการ รวมทั้งตรวจสอบและสังเกตสิ่งของที่ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการนำติดตัวมา ซึ่งอาจจะเป็นวัตถุระเบิด พร้อมกันนี้ให้ช่วยกันจับตารถจักรยานยนต์ ดังนั้นควรจัดหาที่จอดและกั้นให้ห่างจากร้าน โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่มีผู้นำมาจอดทิ้งไว้ แล้วผู้ขี่หายไปจากบริเวณดังกล่าว ถ้าพบเห็นเหตุดังกล่าว ให้รีบแจ้ง 191 หรือหากพบเบาะแสอาชญากรรม การก่อเหตุร้าย โทร.1340 หรือแจ้งที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจภูธรแห่งชาติ ส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.) ตู้ ปณ.1340 ปณจ.ยะลา 6500

จุดประทัดก่อกวน

เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธร อ.เมือง จ.ยะลา รับแจ้งเหตุระเบิดที่โรงงานไม้ยางพารา ทีพาราวู้ด ถ.สาย 15 ต.สะเตง เขตเทศบาลเมืองยะลา ที่เกิดเหตุ พบบริเวณกำแพงโรงงานมีเศษประทัด 3 เหลี่ยมกระจายเต็มพื้น จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุมีวัยรุ่น 2 คน นำถุงใส่ประทัดมาทิ้งไว้ แล้วจุดชนวนให้เกิดระเบิดเสียงดังสนั่น ทำให้คนที่ทำงานภายในโรงงานแตกตื่นตกใจ โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเกิดเหตุระเบิดขึ้น คาดว่าน่าจะเป็นฝีมือวัยรุ่นก่อเหตุกวนเมือง

ยิง ตร.สายตรวจปัตตานีเจ็บ 1 ราย

วันเดียวกัน เมื่อเวลา 07.30 น. ร.ต.อ.ทนงค์ พวงมณี ร้อยเวร สภ.อ.เมืองปัตตานี รับแจ้งเหตุยิงกันที่หน้าปั๊มน้ำมันธงชัยการยาง ตั้งอยู่ริมถนนสายปัตตานี-นราธิวาส หมู่ 7 ต.ตะลุโบะ อ.เมือง จ.ปัตตานี จึงรุดไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุพบผู้บาดเจ็บคือ ส.ต.ท.คอยรูดิน มะโระ อายุ 32 ปี สายตรวจที่ทำหน้าที่เปรียบเทียบปรับผู้กระทำผิดกฎจราจรประจำ สภ.อ.เมืองปัตตานี ถูกยิงด้วยอาวุธปืน 11 มม. เข้าที่ต้นขาขวาจนทะลุ 1 นัด ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลปัตตานี และพบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า ดรีม สีเขียว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ของผู้บาดเจ็บล้มอยู่ ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 10 เมตร ปลอกกระสุนปืน 11 มม.จำนวน 3 ปลอก

สอบสวนทราบว่า ส.ต.ท.คอยรูดิน หลังกลับจากส่งแฟนสาวไปทำงานในตลาดเมืองปัตตานี ขณะขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน สังเกตเห็นวัยรุ่น 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ตามมาด้านหลัง ท่าทีมีพิรุธ จึงเร่งเครื่องรถและพยายามเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมัน แต่คนร้ายก็ใช้ปืนกระหน่ำยิง 3 นัดซ้อน กระสุนถูกต้นขาขวา 1 นัด

ระเบิดตลาดนัด อ.แว้ง เจ็บ 3 ราย

ส่วนที่ จ.นราธิวาส เมื่อเวลา 16.20 น. ร.ต.ต.พิเชษฐ์ รักด้วง ร้อยเวร สภ.ต.โละจูด รับแจ้งเหตุระเบิดในพื้นที่บ้านบูเก๊ะตา ซึ่งจัดเป็นตลาดนัดวันเสาร์ ริมแม่น้ำสุไหงโก-ลก ต.โละจูด อ.แว้ง โดยที่เกิดเหตุอยู่ห่างจากจุดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เคยเดินทางมาวางศิลาฤกษ์ เพื่อเตรียมก่อสร้างสะพานบูเก๊ะตา ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมการค้ากับประเทศมาเลเซียประมาณ 1 กิโลเมตร

แรงระเบิดครั้งนี้ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย คือ นายอนันต์ แวบือซา อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 78/4 หมู่ 2 ต.โละจูด อ.แว้ง นายรอบือซี บาแด อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 18/2 หมู่ 2 ต.โละจูด อ.แว้ง และ ส.ต.ต.เรวัตร พันธ์กุล อายุ 26 ปี ผบ.หมู่ ตชด.446 อ.แว้ง อาการปลอดภัยแล้ว นอกจากนี้มีชาวบ้านที่อยู่ในตลาดได้รับบาดเจ็บจากแรงอัดและสะเก็ดระเบิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

พ.ต.ท.สืบสกุล มณีนวล รอง ผกก.สภ.ต.โละจูด เปิดเผยว่า คนร้ายลอบนำระเบิดแสวงเครื่องมาวางไว้ที่ศาลาที่พักของคิวรถจักรยานยนต์รับจ้างที่อยู่ติดกับตลาดนัด จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว

ก่อนหน้านั้น พบวัตถุต้องสงสัยถูกนำไปวางไว้ที่หลังอาคารเรียนชั้น ป.1 ของโรงเรียนบ้านนาดา หมู่ 3 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดได้เก็บกู้ โดยใช้ปืนแรงดันน้ำฉีดเข้าใส่ เพื่อตัดวงจรระเบิดก่อนเข้าพิสูจน์ทราบ เมื่อเปิดกล่องวัตถุต้องสงสัยภายในพบอิฐบล็อก ถ่านไฟฉาย และสายไฟ แต่ไม่พบเชื้อปะทุ

วางเพลิงอาคารอเนกประสงค์ที่รือเสาะ

วันเดียวกัน ร.ต.ท.พรไชย เกื้อเม้ง ร้อยเวร สภ.อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส รับแจ้งเหตุคนร้ายลอบวางเพลิงอาคารอเนกประสงค์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณสถานีอนามัย บ้านสาวอ หมู่ 6 ต.สาวอ อ.รือเสาะ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมประสานกำลังเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากเทศบาลตำบลรือเสาะไปช่วยดับไฟ โดยที่เกิดเหตุเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว กว้าง 5 เมตร ยาว 20 เมตร ซึ่งเตรียมดัดแปลงเป็นศูนย์พัฒนาสุขภาพ ได้มีเปลวไฟลุกไหม้ที่ฝาผนังอาคาร เจ้าหน้าที่ใช้เวลา 15 นาที จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้

จากการตรวจสอบพบคนร้ายใช้น้ำมันเบนซินราดผนังอาคารก่อน แล้วนำกระดาษมาสุมรวมกับโต๊ะ เก้าอี้ แล้วจุดไฟเผา ได้รับความเสียหายเล็กน้อยบริเวณผนังและเพดานอาคาร

สำหรับความคืบหน้าเหตุระเบิดร้านข้าวต้มอั้งม้อ ถ.ภูผาภักดี สี่แยกรุ่งฟ้า ในเขตเทศบาลเมือง อ.เมือง จ.นราธิวาส จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 14 คน ขณะนี้แพทย์ให้กลับบ้านแล้ว 2 คน คือ น.ส.เกศราภรณ์ สันติธารากุล และนางอมรกานต์ พลศิริ ขณะที่นายเรวัตร ประภาส ยังรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดอย่างรุนแรง

ส่วน ส.ต.ท.ทวีศักดิ์ พวงแก้ว ถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสุไหงโก-ลก ขณะที่ผู้บาดเจ็บอีก 11 คนยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์

คนร้ายแบ่งทีม 4 ชุดทำงานพร้อมกัน

พ.ต.ท.พล วิทยานนท์ สว.กองวิทยาการ จ.นราธิวาส กล่าวภายหลังจากที่เข้าตรวจสอบพื้นที่อย่างละเอียดอีกครั้งที่ร้านข้าวต้มอั้งม้อว่า พบหลุมที่เกิดจากแรงระเบิดกว้าง 50 เซนติเมตร ลึก 40 เซนติเมตร และเศษโซ่เลื่อยยนต์ ตะปูจำนวนมากตกกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ

"เชื่อว่าการก่อเหตุครั้งนี้ คนร้ายใช้โทรศัพท์เป็นตัวกดจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่อง และคิดว่าน่าจะเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกันกับที่ลอบวางระเบิด ที่รั้วโรงเรียนบ้านยี่งอ ถ.เทศบาล 3 ต.ยี่งอ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ในช่วงเย็นวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้เพราะอุปกรณ์ระบบวงจรระเบิดที่พิสูจน์ทราบมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก" พ.ต.ท.พล กล่าว

พ.ต.ท.พล กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นหลายจุดใน จ.นราธิวาส คิดว่าคนร้ายจะต้องแบ่งทีมทำงานเป็น 4 ชุด คือชุดมือเผา ชุดมือระเบิด ชุดมือยิง และชุดโรยเรือใบ ซึ่งมีการวางแผนและเตรียมการเป็นอย่างดี โดยสังเกตว่าแต่ละช่วงเวลาที่เกิดเหตุจะใกล้เคียงกัน ส่งผลให้การปฏิบัติงานของตำรวจ ทหารและผู้เกี่ยวข้อง แม้กระทั่งแพทย์เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะนอกจากต้องเตรียมป้องกันตัว หวั่นคนร้ายลอบทำร้ายซ้ำแล้ว ยังต้องเผชิญปัญหาตะปูเรือใบ ทำให้รถที่ออกไปยังจุดเกิดเหตุเพื่อเคลียร์สถานการณ์เป็นไปอย่างทุลักทุเล

ชี้คนร้ายไม่สนชาวบ้านเดือดร้อน

พ.อ.สมควร แสงภัทรเนตร โฆษกกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.) กล่าวว่า การวางเรือใบหรือโรยตะปูที่คนร้ายใช้นั้น เป็นวิธีการที่นำมาใช้ตั้งแต่เหตุการณ์ปล้นปืนเมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นลักษณะวางในเส้นทางหลบหนี เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดตามยากลำบากมากขึ้น

"คนร้ายไม่ได้สนใจว่าการวางเรือใบ เพื่อหลบหนีนั้น ชาวบ้านจะได้รับความเดือดร้อน ก็อยากให้ประชาชนได้พิจารณาและให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ให้มากที่สุด หากพบเห็นการกระทำของกลุ่มคนร้ายหรือผู้ต้องสงสัย" พ.อ.สมควร กล่าว

ส่วนการปล้นปืนชุดคุ้มครองรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) นั้น พ.อ.สมควร กล่าวว่า คนร้ายปล้นปืนไปได้ 7 กระบอก ในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.นราธิวาส แต่มีอยู่ 1 จุด ที่ อ.จะแนะ เจ้าหน้าที่ ชรบ.ยิงต่อสู้กับคนร้าย ทำให้คนร้ายไม่สามารถปล้นปืนไปได้ ซึ่งทาง กอ.สสส.จชต.จะเข้าไปช่วยเหลือและให้กำลังใจต่อไป ทั้งนี้ตนเชื่อว่าคนร้ายได้วางแผนมาเป็นอย่างดี เพราะการทำงานพร้อมกันหลายๆ จุด มีการซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ที่ออกไปตรวจพื้นที่เกิดเหตุ วางตะปู ป้องกันการติดตามของเจ้าหน้าที่

ซีอีโอนราฯ จัดงบ 1.3 ล้านสกัดป่วนใต้

นายประชา เตรัตน์ ผู้ว่าฯ นราธิวาส กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 12 พ.ย.เป็นต้นมา แม้จะสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ระดับหนึ่ง แต่เมื่อประเมินจากสถานการณ์โดยรวมแล้ว ถือว่าทุกฝ่ายทำงานได้ดีมาก ความสูญเสียที่เกิดขึ้นน้อยกว่าที่ทุกฝ่ายคาดคิดไว้ เพราะมีเพียงจุดเดียวที่ได้รับเสียหาย คือการลอบวางระเบิดกลางใจเมือง ซึ่งทุกฝ่ายไม่คาดคิดว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจะกล้าลงมือในย่านชุมชน ที่มีผู้อาศัยทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมอยู่เป็นจำนวนมาก

"ผู้ก่อเหตุเราถือว่าเป็นมุสลิมนอกรีต เพราะหากเป็นคนไทยพุทธ มุสลิมที่มีศาสนาจริงจะไม่ลงมืออย่างไร้จิตสำนึกขนาดนี้ เหตุการณ์ครั้งนี้ขอชื่นชมเจ้าหน้าที่รัฐทุกส่วน รวมถึงทหารที่ช่วยกันป้องกันและรักษาความสงบจนความสูญเสียน้อยกว่าที่คาดคิดไว้" นายประชา กล่าว

นายประชา กล่าวต่อว่า แม้ช่วงนี้จะเป็นเทศกาลปีใหม่ของชาวมุสลิม แต่ทุกฝ่ายก็ไม่ประมาท จึงได้กำชับนายอำเภอทั้ง 13 แห่งใน จ.นราธิวาสเตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง และขณะนี้ได้เตรียมอนุมัติงบประมาณซีอีโอเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบ ให้กับแต่ละอำเภอ อำเภอละ 100,000 บาท เพื่อใช้ในโครงการส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมทำกิจกรรมและอาศัยกับครอบครัวของชาวบ้าน เป็นการป้องกันและปิดช่องว่างไม่ให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบชักจูงและปลุกปั่นให้ประชาชน หรือเยาวชนหลงผิดเข้าเป็นแนวร่วมสร้างสถานการณ์ได้อีก

ขณะที่ นายศิวะ แสงมณี รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ฐานะ รอง ผอ.กอ.สสส.จชต. กล่าวว่า ได้สั่งให้เฝ้าระวังในย่านการค้า แหล่งจับจ่ายซื้อขอ และท่องเที่ยวในช่วงวันที่ 14 พ.ย.นี้ ในช่วงวันฮารีรายอด้วย พร้อมกับย้ำว่าจะไม่เรียกเก็บปืน ชรบ.คืน แต่จะให้ชุดเฉพาะกิจตรวจสอบเข้มงวดขึ้น ส่วนการสืบสวนสอบสวนถือเป็นหน้าที่ของตำรวจ หากมีข้อเท็จจริงยืนยันว่าปืนไม่ได้ถูกปล้น ผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่ระดับกำนันไปถึงชุด ชรบ.จะถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น

กลุ่มยุวมุสลิมมาเลเซียตั้งกองทุนช่วยเหยื่อไฟใต้

สำหรับกรณีผู้เสียชีวิต 85 รายจากเหตุการณ์สลายผู้ชุมนุมที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาสนั้น หนังสือพิมพ์นิว สเตรท ไทมส์ของมาเลเซีย รายงานวันที่ 13 พ.ย.ว่า กลุ่มขบวนการยุวมุสลิมมาเลเซีย ซึ่งรู้จักในชื่อย่อภาษามาเลย์ว่า "อาบิม" มีแผนจะระดมเงินบริจาคจำนวน 1,000,000 ริงกิต หรือประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของผู้เสียชีวิต และในระหว่างการขนย้ายเมื่อปลายเดือน ต.ค.

นายอาหมัด อาซัม อับดุล เราะห์มาน ประธานกลุ่มยุวมุสลิมมาเลเซีย กล่าวว่า ทางกลุ่มได้รวบรวมเงินบริจาคจากชาวมาเลเซียได้แล้วประมาณ 63,000 ริงกิต หรือประมาณ 630,000 บาท และได้ส่งมอบเงินให้ผู้นำศาสนามุสลิมในไทยเมื่อวันที่ 9 พ.ย. โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยร่วมอยู่ด้วย

นายอาหมัด อาซัม กล่าวด้วยว่า กลุ่มยุวมุสลิมมาเลเซียมีแผนจะสร้างศูนย์สวัสดิการและช่วยเหลือเด็กกำพร้าใน จ.นราธิวาส รวมทั้งจะมอบเงิน 10,000 ริงกิต หรือประมาณ 1 แสนบาท ให้แก่ครอบครัวของเหยื่อความรุนแรงที่ตากใบ 85 ราย จึงได้ช่วยกันระดมเงินหนึ่งล้านริงกิต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ เชื่อว่าชาวมาเลเซียจะร่วมสนับสนุนความพยายามนี้

ใบปลิวโจมตีทั่วหาดใหญ่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีคนแต่งกายคล้ายมุสลิมเดินแจกใบปลิวตามย่านชุมชนและย่านการค้าใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยข้อความระบุว่า วิกฤติภาคใต้ขอให้ผู้บริสุทธิ์ระมัดระวังตัว อย่าให้พวกบ้าคลั่งลัทธิ บ้าพวกมาก ทำให้เศรษฐกิจพังยับเยิน อย่าเข้าใจชาวมุสลิมในทางที่ผิด ที่ทำผิดฆ่าคนไม่ใช่มุสลิม จึงขออาสาไปปราบ เพราะรู้ว่าใครเป็นแนวร่วม เป็นตัวการ

"พวกเราบางคนเคยฝึกและถูกหลอกมาแล้ว ต่อไปนี้พื้นที่ใด ใครก่อเหตุ แนวร่วมหรือตัวการในพื้นที่ จะต้องตายตาม ขอให้พี่น้องร่วมชาติทุกคนดูแลตัวเองให้ดี หลังจากเดือนรอมฎอนสิ้นสุดลง เราจะเดินหน้าฆ่าพวกมันเอง มิใช่มุสลิมฆ่ามุสลิม แต่มุสลิมจะฆ่าผู้ทำลายศาสนาที่แอบอ้างคำสอนไปในทางที่ผิด ขอร้องรัฐให้รีบนำเอาข้าราชการที่ประชาชนไม่ชอบออกนอกพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างรวดเร็ว อย่ายุ่งกับเรา" ข้อความตอนหนึ่งในใบปลิวระบุ

นักวิชาการจัดทัพก่อนพบนายกฯ

กรณีที่นักวิชาการจะเข้าพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อพูดคุยแก้ปัญหาใต้ วันที่ 14 พ.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น กลุ่มแกนนำนักวิชาการได้หารือกันก่อนที่คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ส่วนใหญ่เป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เช่น นางจันทจิรา เอี่ยมมยุรา รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ นายกิตติศักดิ์ ปรกติ นายปริญญา เทวานฤมิตกุล นายบรรเจิด สิงคเนติ และนายสุวินัย ภรณวลัย คณะเศรษฐศาสตร์ และจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แก่ นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ จากคณะอักษรศาสตร์ นายสุริชัย หวันแก้ว คณะรัฐศาสตร์

นายปริญญา กล่าวว่า วันนี้ตัวแทนอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ได้ลงชื่อในจดหมายเปิดผนึก มาหารือร่วมกันว่าจะเข้าพบกับนายกรัฐมนตรีลักษณะใด มีเนื้อหาอย่างไร โดยเชิญนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ว.นครราชสีมา ฐานะประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ร่วมหารือด้วย ทั้งนี้จะมีตัวแทนนักวิชาการ 20 คนเข้าพบกับนายกฯ ซึ่งจะมีตน นายบรรเจิด สิงคเนติ และนายสุริชัย หวันแก้ว

"มีอาจารย์จำนวนไม่น้อยที่ไม่สบายใจเข้าพบนายกฯ เพราะอาจจะรู้สึกว่า การเข้าพบครั้งนี้อาจจะไม่เกิดประโยชน์อะไร ซึ่งดูจากสิ่งที่ผ่านๆ มาของนายกฯ ที่มักมีท่าทีสนองตอบต่อนักวิชาการในท่าทีที่ค่อนข้างจะรุนแรงบ่อยครั้ง ดังนั้นใครพร้อมก็จะเป็นตัวแทนเข้าพบ" นายปริญญา กล่าว

เสนอหยุดความรุนแรง-ปชช.มีส่วนร่วม

ส่วนเนื้อหาและประเด็นที่จะพูดคุยนั้น นายปริญญา กล่าวว่า ต้องการให้รัฐบาลเปลี่ยนนโยบาย เพราะความรุนแรงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ส่วนการเรียกร้องให้นายกฯ ขอโทษนั้น จะทำเป็นเอกสารมอบให้นายกฯ อีกครั้ง โดยข้อเสนอนั้นคือ 1.ต้องหยุดการใช้ความรุนแรงมาใช้ความนุ่มนวล และการเมืองนำหน้า 2.ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดในการแก้ปัญหา ซึ่งเห็นว่าเป็นทางเดียวในการแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว ส่วนวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จะต้องยืนหยัดในกระบวนการของหลักนิติธรรม

"ต้องคุยในหลักการก่อน หากรัฐบาลเห็นชอบด้วย รายละเอียดวิธีการปฏิบัติไม่ใช่ปัญหา เราไม่ได้คิดเรื่องการรับมืออะไรในลักษณะของการเผชิญหน้า ก็อยากรู้เหมือนกันว่านายกรัฐมนตรีอยากจะฟังเราจริงหรือไม่ หรือจะให้อาจารย์เข้าไปฟังนายกฯ" นายปริญญา กล่าวและว่า ถ้านายกฯ ไม่รับหลักการ ก็ไม่สามารถตอบได้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวต่ออีกหรือไม่

ทั้งนี้ในการประชุมของแกนนำนักวิชาการ ต่างกังวลว่าจะตกเป็นฝ่ายรับฟังปัญฟาจากรัฐบาลฝ่ายเดียว จึงได้ให้นางวรรณรัตน์ มิ่งมณีนาคิน จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นอาจารย์อาวุโส เข้าไปด้วย และจะพูดคุยกันในหลักการ

"ไกรศักดิ์" ยันให้ยูเอ็นช่วยดับไฟใต้

กรณีคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ จะยื่นหนังสือให้องค์การสหประชาชาติ ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการสลายการชุมนุมที่ อ.ตากใบ นายปริญญา กล่าวว่า เบื้องต้นอยากให้แก้ปัญหากันเองก่อน ยังไม่อยากเห็นสหประชาชาติเข้ามา แต่ถ้าปัญหาลุกลามบานปลาย ต่อให้เราไม่เห็นด้วย ก็คงไม่สามารถห้ามสหประชาชาติได้

แต่ นายไกรศักดิ์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ อ.ตากใบ ร้ายแรงพอที่รัฐบาลต้องเชิญองค์การสหประชาชาติเข้ามาดูแล และช่วยคิดว่าควรจะมีมาตรการอย่างไรต่อไป หากองค์การสหประชาชาติเข้ามาตรวจสอบแล้ว ยังคงรูปแบบการแก้ปัญหาโดยใช้ความรุนแรง ก็เท่ากับว่าเราเป็นประเทศเผด็จการในคราบประชาธิปไตย

"อย่าลืมว่าในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ มีชาวมุสลิมกว่า 200 ล้านคน เราต้องอยู่กับเขาอย่างสันติ ไม่ใช่อยู่ในกรอบของชาวพุทธแล้วไปทำลายวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของเขา" นายไกรศักดิ์ กล่าว

นายไกรศักดิ์ กล่าวอีกว่า คิดว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการที่มีนายพิเชต สุนทรพิพิธ เป็นประธานนั้น ถือว่ามาถูกทางแล้ว หวังว่าการตรวจสอบคราวนี้จะไม่มีการซักฟอกความรุนแรงอย่างเดียว แต่ไม่มีการลงโทษอย่างกรณีกรือเซะ

สภาอาจารย์ มธ.แนะจัดแผนศึกษาใหม่

สภาอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ทำบันทึกถึงอธิการบดี เสนอให้นำเรื่องหารือผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ให้พิจารณาวางแผนจัดการศึกษา และส่งเสริมการค้นคว้าวิจัย และงานวิชาการ เพื่อช่วยแก้ปัญหาความรุนแรงในระยะยาว พร้อมเสนอแนะต่อรัฐบาล หน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชนให้พิจารณาปัญหาถึงต้นตอ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แยกแยะปัญหาอาชญากรรมและโจรก่อการร้ายออกจากปัญหาเรียกร้องความเป็นธรรม และปัญหาต่างความเห็นต่างอุดมคติของประชาชนให้ชัดเจน เลิกละการมองปัญหา จัดการปัญหาแบบเหมารวมเบ็ดเสร็จ หรือจัดการแบบใจเร็วด่วนได้โดยปราศจากการแยกแยะ และให้รัฐกำหนดมาตรการเยียวยาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเป็นกรณีพิเศษ ทั้งต่อทรัพย์สินและสภาพจิตใจ

นอกจากนี้ สภาอาจารย์ขอให้เรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี ให้เอาใจใส่ในกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อเหตุการณ์ดังกล่าวในข้อที่ว่า "ให้แก้ปัญหาด้วยความนุ่มนวล และให้ประชาชนมีส่วนร่วม" อย่างจริงจังต่อไป


ยังไม่มีคำวิจารณ์ สำหรับ บทความนี้
คนตั้ง  : 
อีเมล์ :
คำวิจารณ์  : 
วันที่ตั้งกระทู้  : 
28-03-2024


เวป หางาน ค้นหางาน ตำแหน่งงาน พนักงาน ejobonline.com